“จะให้หายเหงานะเหรอยากกว่าทำให้ฝนตกในอวกาศอีกมั้ง เป็นไปไม่ได้หรอก”
เป็นคำที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาเกือบๆจะ 3
ชม.แล้ว นานพอๆกับที่ฝนข้างนอกกำลังตั้งเค้าเข้ามาหาโลกนั่นแหละ ฉันหมุนปากกาในมือเล่นไปเรื่อยๆ
ทอดสายตาเอื่อยๆไปนอกหน้าต่างที่เริ่มสลัวด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่ ราวกับจะมองให้เห็นแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้
ท่ามกลางเมฆหม่นก้อนนั้น
เสียงหึ่งๆจากไมโครโฟนดังผ่านหูฉันแล้วก็ผ่านเลยไป ก็คงคล้ายๆกับความเหงาแหละมั้ง ผ่านเข้ามา แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ออดดังขึ้นหมดเวลาแล้ว ช่วยพาสติของฉันกลับมาได้นิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อย “เป็นไปไม่ได้หรอก” ก็ยังวิ่งวนไปมาชนกันในหัวอยู่เหมือนเดิม
ปากกาในมือก็ยังหมุนอยู่เหมือนเดิม
ดวงตาของฉันก็ยังมองหาความเป็นไปได้ที่นอกหน้าต่างอยู่เหมือนเดิม
ความเหงาก็ยังอยู่กับฉันเหมือนเดิม...อีกแล้ว
เพื่อนข้างๆฉันเก็บอุปกรณ์ทุกอย่าง
กวาดลงใส่กระเป๋าอย่างไม่ค่อยไยดีมันเท่าไหร่ ถ้ามันมีชีวิตมันคงเสียใจแน่ๆเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ
ฝนน่าจะใกล้ตกแล้ว ฉันก็ควรรีบกลับบ้าน เพราะฉันไม่ชอบฝนตกเวลาอยู่นอกบ้าน
ฉันเลยเก็บปากกาใส่กระเป๋า รีบบอกลาเพื่อนๆทุกคนแล้วเดินออกจากห้อง
เพื่อนๆหลายคนยังคุยเล่นกันอยู่ และบางคนบอกให้ฉันรอ แต่ฉันขี้เกียจรอ
และขี้เกียจคุย เลยเดินออกมาเพียงคนเดียว
“เดินคนเดียวก็เหงาเหมือนกันเนอะ” ฉันพึมพำในใจระหว่างทางเดินมาขึ้นรถไฟฟ้า
ฟ้าร้องครืนๆมาคล้ายๆอินโทรของเสียงเพลง แต่น่าจะเป็นเพลงที่ฉันไม่ชอบเท่าไหร่นัก
เพราะหลังจากอินโทรไม่นาน
เม็ดฝนก็ตัดสินใจวิ่งเข้ามาทักทายพื้นดินราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานาน
“ฝนจ๋า ฝนก็เหงาเหมือนฉันใช่มั้ยจ๊ะ?” ฉันคิดพลางหยิบหยิบร่มลายโพลกาด็อทที่แม่ซื้อให้มากางออกก่อนที่ชุดนักเรียนสีขาวของฉันจะเปียกไปมากกว่านี้แล้วก็รีบสาวเท้ายาวๆเพื่อให้ไปถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยเร็วก่อนที่เม็ดฝนจะคิดถึงพื้นดินรุนแรงกว่าตอนนี้
เพราะว่าฉันไม่ชอบฝนตกเวลาที่ฉันไม่ได้อยู่บ้านเลย
คนหลายคนก็คงไม่ชอบฝนเหมือนกับฉัน ถึงรีบเดินจนชนฉันแทบจะล้ม แต่บางคนก็ใจดี
ช่วยฉันให้ลุกขึ้นมาด้วย
“ถ้าฉันได้ไปอยู่นอกโลกก็คงจะดี” ฉันคิดพลางพยุงตัวขึ้นมา แล้วพาตัวเองเดินต่อไป
ถ้าอยู่นอกโลกแล้ว คงไม่มีฝนให้ฉันต้องรู้สึกเหงามากขึ้นเหมือนตอนนี้แน่ๆเลย
แต่ก็แน่หละ คำเดิมมันวิ่งวนกลับมาอีกแล้ว “เป็นไปไม่ได้หรอก” ฉันจะไปอยู่ในอวกาศ
ในจักรวาลนี่ได้อย่างไร ขนาดเม็ดฝนที่ไหลไปได้ตลอดทุกหนแห่งยังทำไม่ได้เลย
นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างฉัน ฉันเสียบหูฟังแล้วเดินเข้ารถไฟฟ้า
ตัดขาดโสตประสาทตัวเองจากโลกภายนอกที่มีคนมากมายอยู่รอบกายแต่ฉันก็ยังเหงา
เพื่อมาฟัง “เพลงเหงาๆ”
“แต่ในอวกาศมันไม่มีฝนให้ฉันรู้สึกเหงาเพิ่มได้อยู่แล้วหละ”
แล้วฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่าง
เพื่อมองหาแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้อีกครั้ง
บางทีความเหงามันอาจไม่ได้รู้สึกเพิ่มขึ้นด้วยฝนหรอกนะ
มันแค่เปิดเผยตัวตนออกมาให้เราเจอมันได้มากขึ้นเวลาเรารู้สึกอ่อนแอมากกว่า อาจเป็นเพราะฉันไม่ชอบฝน
ฉันเลยรู้สึกอ่อนแอและกลัวทุกครั้งที่เจอฝนตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน เพราะฉันกลัวเปียก
และฉันก็กลัวความเหงาเหมือนกัน แต่ถึงให้ฉันไปอยู่ในอวกาศ มันก็คงมีฝนฝุ่นแทนฝนน้ำ
แทนที่ฉันจะเปียกจากภายนอก ฝุ่นอาจจะเข้าตาทำให้ตาฉันเปียกก็ได้ ถ้าให้ฉันเลือก
ฉันยอมที่จะเผชิญความเหงา ดีกว่าไปหาที่ที่ทำให้เราเสียน้ำตาดีกว่า
“ฝนตกเดี๋ยวก็หยุด ความเหงาก็คงเหมือนกัน
ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป” ฉันดึงหูฟังออกมาเก็บ หยุดฟังเพลงเหงาๆ
แล้วออกมาจากรถไฟฟ้าเมื่อถึงสถานีที่ฉันต้องลง เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆเอง
ที่นี่ฝนเริ่มซาแล้ว ฉันเห็นแสงอาทิตย์เป็นริ้วๆส่องออกมาจากก้อนเมฆสีหม่น
ก่อนที่มันจะลาจากโลกไปในวันนี้
“ความจริงแสงมันมีอยู่ตลอด แค่เราไม่สังเกตมันเท่านั้นเอง” ฉันยืนยิ้มอยู่บนชานชาลาคนเดียวในขณะที่คนอื่นกำลังเดินลงบันไดไป
ฉันโทรบอกพ่อให้มารอรับฉันได้แล้ว แล้วฉันก็ถ่ายแสงสุดท้ายของวันนี้เอาไว้ ....ในใจ
“มันมีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว
ความเหงาก็แค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
เกียวโต
04 / 06 / 16
20.11
____________________________________________________________
กัญญาอร
สีสำลี ม.5 ห้อง937
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น