วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฝนตกในอวกาศ

          “จะให้หายเหงานะเหรอยากกว่าทำให้ฝนตกในอวกาศอีกมั้ง  เป็นไปไม่ได้หรอก”

 เป็นคำที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาเกือบๆจะ 3 ชม.แล้ว นานพอๆกับที่ฝนข้างนอกกำลังตั้งเค้าเข้ามาหาโลกนั่นแหละ ฉันหมุนปากกาในมือเล่นไปเรื่อยๆ ทอดสายตาเอื่อยๆไปนอกหน้าต่างที่เริ่มสลัวด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่ ราวกับจะมองให้เห็นแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้ ท่ามกลางเมฆหม่นก้อนนั้น  เสียงหึ่งๆจากไมโครโฟนดังผ่านหูฉันแล้วก็ผ่านเลยไป  ก็คงคล้ายๆกับความเหงาแหละมั้ง  ผ่านเข้ามา แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ออดดังขึ้นหมดเวลาแล้ว ช่วยพาสติของฉันกลับมาได้นิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อย  “เป็นไปไม่ได้หรอก”   ก็ยังวิ่งวนไปมาชนกันในหัวอยู่เหมือนเดิม ปากกาในมือก็ยังหมุนอยู่เหมือนเดิม ดวงตาของฉันก็ยังมองหาความเป็นไปได้ที่นอกหน้าต่างอยู่เหมือนเดิม ความเหงาก็ยังอยู่กับฉันเหมือนเดิม...อีกแล้ว

เพื่อนข้างๆฉันเก็บอุปกรณ์ทุกอย่าง กวาดลงใส่กระเป๋าอย่างไม่ค่อยไยดีมันเท่าไหร่ ถ้ามันมีชีวิตมันคงเสียใจแน่ๆเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ ฝนน่าจะใกล้ตกแล้ว ฉันก็ควรรีบกลับบ้าน เพราะฉันไม่ชอบฝนตกเวลาอยู่นอกบ้าน ฉันเลยเก็บปากกาใส่กระเป๋า รีบบอกลาเพื่อนๆทุกคนแล้วเดินออกจากห้อง เพื่อนๆหลายคนยังคุยเล่นกันอยู่ และบางคนบอกให้ฉันรอ แต่ฉันขี้เกียจรอ และขี้เกียจคุย เลยเดินออกมาเพียงคนเดียว

“เดินคนเดียวก็เหงาเหมือนกันเนอะ”  ฉันพึมพำในใจระหว่างทางเดินมาขึ้นรถไฟฟ้า ฟ้าร้องครืนๆมาคล้ายๆอินโทรของเสียงเพลง แต่น่าจะเป็นเพลงที่ฉันไม่ชอบเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากอินโทรไม่นาน เม็ดฝนก็ตัดสินใจวิ่งเข้ามาทักทายพื้นดินราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานาน

“ฝนจ๋า ฝนก็เหงาเหมือนฉันใช่มั้ยจ๊ะ?ฉันคิดพลางหยิบหยิบร่มลายโพลกาด็อทที่แม่ซื้อให้มากางออกก่อนที่ชุดนักเรียนสีขาวของฉันจะเปียกไปมากกว่านี้แล้วก็รีบสาวเท้ายาวๆเพื่อให้ไปถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยเร็วก่อนที่เม็ดฝนจะคิดถึงพื้นดินรุนแรงกว่าตอนนี้ เพราะว่าฉันไม่ชอบฝนตกเวลาที่ฉันไม่ได้อยู่บ้านเลย คนหลายคนก็คงไม่ชอบฝนเหมือนกับฉัน ถึงรีบเดินจนชนฉันแทบจะล้ม แต่บางคนก็ใจดี ช่วยฉันให้ลุกขึ้นมาด้วย

“ถ้าฉันได้ไปอยู่นอกโลกก็คงจะดี” ฉันคิดพลางพยุงตัวขึ้นมา แล้วพาตัวเองเดินต่อไป ถ้าอยู่นอกโลกแล้ว คงไม่มีฝนให้ฉันต้องรู้สึกเหงามากขึ้นเหมือนตอนนี้แน่ๆเลย แต่ก็แน่หละ คำเดิมมันวิ่งวนกลับมาอีกแล้ว “เป็นไปไม่ได้หรอก” ฉันจะไปอยู่ในอวกาศ ในจักรวาลนี่ได้อย่างไร ขนาดเม็ดฝนที่ไหลไปได้ตลอดทุกหนแห่งยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างฉัน ฉันเสียบหูฟังแล้วเดินเข้ารถไฟฟ้า ตัดขาดโสตประสาทตัวเองจากโลกภายนอกที่มีคนมากมายอยู่รอบกายแต่ฉันก็ยังเหงา เพื่อมาฟัง “เพลงเหงาๆ”

“แต่ในอวกาศมันไม่มีฝนให้ฉันรู้สึกเหงาเพิ่มได้อยู่แล้วหละ” แล้วฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อมองหาแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้อีกครั้ง บางทีความเหงามันอาจไม่ได้รู้สึกเพิ่มขึ้นด้วยฝนหรอกนะ มันแค่เปิดเผยตัวตนออกมาให้เราเจอมันได้มากขึ้นเวลาเรารู้สึกอ่อนแอมากกว่า  อาจเป็นเพราะฉันไม่ชอบฝน ฉันเลยรู้สึกอ่อนแอและกลัวทุกครั้งที่เจอฝนตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน เพราะฉันกลัวเปียก และฉันก็กลัวความเหงาเหมือนกัน แต่ถึงให้ฉันไปอยู่ในอวกาศ มันก็คงมีฝนฝุ่นแทนฝนน้ำ แทนที่ฉันจะเปียกจากภายนอก ฝุ่นอาจจะเข้าตาทำให้ตาฉันเปียกก็ได้ ถ้าให้ฉันเลือก ฉันยอมที่จะเผชิญความเหงา ดีกว่าไปหาที่ที่ทำให้เราเสียน้ำตาดีกว่า

“ฝนตกเดี๋ยวก็หยุด ความเหงาก็คงเหมือนกัน ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป”  ฉันดึงหูฟังออกมาเก็บ หยุดฟังเพลงเหงาๆ แล้วออกมาจากรถไฟฟ้าเมื่อถึงสถานีที่ฉันต้องลง เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆเอง ที่นี่ฝนเริ่มซาแล้ว ฉันเห็นแสงอาทิตย์เป็นริ้วๆส่องออกมาจากก้อนเมฆสีหม่น ก่อนที่มันจะลาจากโลกไปในวันนี้

“ความจริงแสงมันมีอยู่ตลอด แค่เราไม่สังเกตมันเท่านั้นเอง”  ฉันยืนยิ้มอยู่บนชานชาลาคนเดียวในขณะที่คนอื่นกำลังเดินลงบันไดไป ฉันโทรบอกพ่อให้มารอรับฉันได้แล้ว แล้วฉันก็ถ่ายแสงสุดท้ายของวันนี้เอาไว้ ....ในใจ

“มันมีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ความเหงาก็แค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้นเอง”


เกียวโต
04 / 06 / 16
20.11
____________________________________________________________


กัญญาอร สีสำลี ม.5 ห้อง937

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น