วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

พันทิป

                   
พันทิป.คอม ก่อตั้งโดยวันฉัตร ผดุงรัตน์ แรกเริ่มเพื่อทำนิตยสารคอมพิวเตอร์ออนไลน์โดยนำชื่อมาจากห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่าซึ่งเป็นแหล่งรวมการค้าคอมพิวเตอร์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจผิดว่าเป็นเว็บไซต์ของทางห้าง แต่ผลตอบรับจากผู้เยี่ยมชมกลับชื่นชอบที่จะใช้กระดานข่าวสาธารณะในการออกความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ มากกว่ารูปแบบนิตยสาร จึงทำให้พันทิป.คอมเปลี่ยนเป้าหมายทางธุรกิจเป็นการดำเนินงานทางด้านกระดานข่าว และเลี่ยงการสะกดเป็น พันทิป โดยหารายได้จากการโฆษณาเป็นหลัก และขยายรูปแบบการทำงานเป็นกระดานข่าวเป็นหมวดต่าง ๆ
                    
อย่างที่เราทราบกันดีว่า พันทิปนั้น เป็นเว็บไซต์ที่มีจุดประสงค์มุ่งที่จะเป็นกระดานกระจายข่าว จึงมีผู้คนจำนวนมากให้ความนิยม และตั้งกระทู้กันมากมาย  หลากหลายหัวข้อ และต่อมาในภายหลังพันทิปนั้น ยิ่งเป็นกระแสนิยม ยิ่งทำให้คนหันมาเล่นมากขึ้น เราจึงพบกระทู้ข่าวแปลกๆมากมาย โดยเฉพาะการตั้งคำถามเชิงประนาม เชิงแฉบุคคลอื่น หรือแม้กระทั่ง แต่งเรื่องโกหกของตัวเองเพื่อเรียกร้องความสนใจ  การเล่นพันทิปนั้นจึงจำเป็นต้องมีวิจารณญาณมากขึ้น  ต้องใช้สติ และความเฉลียวใจยิ่งขึ้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เนื้อความที่เจ้าของกระทู้ได้พิมพ์บอกเล่ามานั้น จริงเท็จแค่ไหน  ยกตัวอย่างกระทู้น้องแอร์ clubfriday ที่ตั้งเพื่อเล่าเรื่องของตัวเองว่า ถูกแม่แท้ๆของตนเองนั้นแย่งสามีไป จึงทำให้เป็นกระแสพักนึงในพันทิป และสุดท้ายนักสืบพันทิปก็สามารถจับโกหกได้ว่า น้องแอร์เจ้าของกระทู้นั้น ป่วยทางจิตและแต่งเรื่องทั้งหมดขึ้นมาเอง นี่ก็เป็นผลเสียอีกด้านของเว็บไซต์กระจายข่าว ที่ช่วยให้เราต้องเตือนตัวเองว่า อย่าฟังความข้างเดียวและต้องมีสติในการเสพข่าว แต่ข้อดีของเว็บไซต์พันทิปนั้นก็มีเยอะ เช่น มีลูกค้าซื้อของออนไลน์ผ่านทางอินสตาแกรม  แต่โดนแม่ค้าโกงเงิน จึงมาตั้งกระทู้ปรึกษาและกระจายข่าวให้คนอื่นๆได้ทราบว่า ร้านนี้อันตราย ไม่ควรซื้อด้วย ทำให้เราได้รับความรู้ทางข้อกฎหมายต่างๆไว้ป้องกันตัวจากผู้เล่นพันทิปรายอื่นๆ และได้รู้ว่าร้านค้าออนไลน์ร้านไหนที่เป็นอันตราย
            
เว็บไซต์พันทิปเป็นเว็บไซต์กระจายข่าวสาธารณะ  ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว ที่เราจะสามารถพบได้ทั้งข้อดีและข้อเสียของการตั้งกระทู้เพื่อกระจายข่าวตามแต่เจตนาของแต่ละบุคคล  เพราะใครๆก็สามารถสมัครสมาชิกและตั้งกระทู้สนทนาได้เลย เราจึงต้องมีสติและใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของผู้มีเจตนาไม่ดีในการปล่อยข่าว

____________________________________________________________


ศรัญญา ม.6 ห้อง 125 สาย ศิลป์-ญี่ปุ่น

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ฝนตกในอวกาศ

          “จะให้หายเหงานะเหรอยากกว่าทำให้ฝนตกในอวกาศอีกมั้ง  เป็นไปไม่ได้หรอก”

 เป็นคำที่วนเวียนอยู่ในหัวฉันมาเกือบๆจะ 3 ชม.แล้ว นานพอๆกับที่ฝนข้างนอกกำลังตั้งเค้าเข้ามาหาโลกนั่นแหละ ฉันหมุนปากกาในมือเล่นไปเรื่อยๆ ทอดสายตาเอื่อยๆไปนอกหน้าต่างที่เริ่มสลัวด้วยเมฆฝนก้อนใหญ่ ราวกับจะมองให้เห็นแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้ ท่ามกลางเมฆหม่นก้อนนั้น  เสียงหึ่งๆจากไมโครโฟนดังผ่านหูฉันแล้วก็ผ่านเลยไป  ก็คงคล้ายๆกับความเหงาแหละมั้ง  ผ่านเข้ามา แล้วเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ออดดังขึ้นหมดเวลาแล้ว ช่วยพาสติของฉันกลับมาได้นิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อย  “เป็นไปไม่ได้หรอก”   ก็ยังวิ่งวนไปมาชนกันในหัวอยู่เหมือนเดิม ปากกาในมือก็ยังหมุนอยู่เหมือนเดิม ดวงตาของฉันก็ยังมองหาความเป็นไปได้ที่นอกหน้าต่างอยู่เหมือนเดิม ความเหงาก็ยังอยู่กับฉันเหมือนเดิม...อีกแล้ว

เพื่อนข้างๆฉันเก็บอุปกรณ์ทุกอย่าง กวาดลงใส่กระเป๋าอย่างไม่ค่อยไยดีมันเท่าไหร่ ถ้ามันมีชีวิตมันคงเสียใจแน่ๆเลย แต่ก็ช่างมันเถอะ ฝนน่าจะใกล้ตกแล้ว ฉันก็ควรรีบกลับบ้าน เพราะฉันไม่ชอบฝนตกเวลาอยู่นอกบ้าน ฉันเลยเก็บปากกาใส่กระเป๋า รีบบอกลาเพื่อนๆทุกคนแล้วเดินออกจากห้อง เพื่อนๆหลายคนยังคุยเล่นกันอยู่ และบางคนบอกให้ฉันรอ แต่ฉันขี้เกียจรอ และขี้เกียจคุย เลยเดินออกมาเพียงคนเดียว

“เดินคนเดียวก็เหงาเหมือนกันเนอะ”  ฉันพึมพำในใจระหว่างทางเดินมาขึ้นรถไฟฟ้า ฟ้าร้องครืนๆมาคล้ายๆอินโทรของเสียงเพลง แต่น่าจะเป็นเพลงที่ฉันไม่ชอบเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากอินโทรไม่นาน เม็ดฝนก็ตัดสินใจวิ่งเข้ามาทักทายพื้นดินราวกับเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานาน

“ฝนจ๋า ฝนก็เหงาเหมือนฉันใช่มั้ยจ๊ะ?ฉันคิดพลางหยิบหยิบร่มลายโพลกาด็อทที่แม่ซื้อให้มากางออกก่อนที่ชุดนักเรียนสีขาวของฉันจะเปียกไปมากกว่านี้แล้วก็รีบสาวเท้ายาวๆเพื่อให้ไปถึงสถานีรถไฟฟ้าโดยเร็วก่อนที่เม็ดฝนจะคิดถึงพื้นดินรุนแรงกว่าตอนนี้ เพราะว่าฉันไม่ชอบฝนตกเวลาที่ฉันไม่ได้อยู่บ้านเลย คนหลายคนก็คงไม่ชอบฝนเหมือนกับฉัน ถึงรีบเดินจนชนฉันแทบจะล้ม แต่บางคนก็ใจดี ช่วยฉันให้ลุกขึ้นมาด้วย

“ถ้าฉันได้ไปอยู่นอกโลกก็คงจะดี” ฉันคิดพลางพยุงตัวขึ้นมา แล้วพาตัวเองเดินต่อไป ถ้าอยู่นอกโลกแล้ว คงไม่มีฝนให้ฉันต้องรู้สึกเหงามากขึ้นเหมือนตอนนี้แน่ๆเลย แต่ก็แน่หละ คำเดิมมันวิ่งวนกลับมาอีกแล้ว “เป็นไปไม่ได้หรอก” ฉันจะไปอยู่ในอวกาศ ในจักรวาลนี่ได้อย่างไร ขนาดเม็ดฝนที่ไหลไปได้ตลอดทุกหนแห่งยังทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างฉัน ฉันเสียบหูฟังแล้วเดินเข้ารถไฟฟ้า ตัดขาดโสตประสาทตัวเองจากโลกภายนอกที่มีคนมากมายอยู่รอบกายแต่ฉันก็ยังเหงา เพื่อมาฟัง “เพลงเหงาๆ”

“แต่ในอวกาศมันไม่มีฝนให้ฉันรู้สึกเหงาเพิ่มได้อยู่แล้วหละ” แล้วฉันก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เพื่อมองหาแสงสว่างแห่งความเป็นไปได้อีกครั้ง บางทีความเหงามันอาจไม่ได้รู้สึกเพิ่มขึ้นด้วยฝนหรอกนะ มันแค่เปิดเผยตัวตนออกมาให้เราเจอมันได้มากขึ้นเวลาเรารู้สึกอ่อนแอมากกว่า  อาจเป็นเพราะฉันไม่ชอบฝน ฉันเลยรู้สึกอ่อนแอและกลัวทุกครั้งที่เจอฝนตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน เพราะฉันกลัวเปียก และฉันก็กลัวความเหงาเหมือนกัน แต่ถึงให้ฉันไปอยู่ในอวกาศ มันก็คงมีฝนฝุ่นแทนฝนน้ำ แทนที่ฉันจะเปียกจากภายนอก ฝุ่นอาจจะเข้าตาทำให้ตาฉันเปียกก็ได้ ถ้าให้ฉันเลือก ฉันยอมที่จะเผชิญความเหงา ดีกว่าไปหาที่ที่ทำให้เราเสียน้ำตาดีกว่า

“ฝนตกเดี๋ยวก็หยุด ความเหงาก็คงเหมือนกัน ผ่านมาเดี๋ยวก็ผ่านไป”  ฉันดึงหูฟังออกมาเก็บ หยุดฟังเพลงเหงาๆ แล้วออกมาจากรถไฟฟ้าเมื่อถึงสถานีที่ฉันต้องลง เพิ่งจะห้าโมงกว่าๆเอง ที่นี่ฝนเริ่มซาแล้ว ฉันเห็นแสงอาทิตย์เป็นริ้วๆส่องออกมาจากก้อนเมฆสีหม่น ก่อนที่มันจะลาจากโลกไปในวันนี้

“ความจริงแสงมันมีอยู่ตลอด แค่เราไม่สังเกตมันเท่านั้นเอง”  ฉันยืนยิ้มอยู่บนชานชาลาคนเดียวในขณะที่คนอื่นกำลังเดินลงบันไดไป ฉันโทรบอกพ่อให้มารอรับฉันได้แล้ว แล้วฉันก็ถ่ายแสงสุดท้ายของวันนี้เอาไว้ ....ในใจ

“มันมีทางที่จะเป็นไปได้อยู่แล้ว ความเหงาก็แค่เพื่อนสนิทคนหนึ่งเท่านั้นเอง”


เกียวโต
04 / 06 / 16
20.11
____________________________________________________________


กัญญาอร สีสำลี ม.5 ห้อง937

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว



                   ถ้าหากได้ยินวลีนี้ล่ะก็ฉันมั่นใจว่าทุกคนย่อมนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังเรื่อง ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน อย่างแน่นอน ฉันเองก็เช่นกัน แต่ถ้าหากว่ายอดนักสืบคนนั้นไม่ใช่มนุษย์เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ? สำหรับฉัน ถ้าเรื่องนี้มีตัวละครเอกเป็นสัตว์ โคนันก็คงเป็นแมวช่างคิดตัวหนึ่งที่คอยไขคดีให้เหล่าเพื่อนสัตว์ทั้งหลาย คดีสืบสวนที่เคยฟังดูน่ากลัวก็คงกลายเป็นคดีที่ดูน่ารักไปเลยล่ะ



นางสาวแพรวา เต็งชาตะพันธุ์ ม.4 ห้อง 843

เมื่อต้นไม้กลายเป็นหนอน


นางสาวธัญชนก ม่วงกลิ้ง ม.4/946 วิทย์คุณภาพชีวิต

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559

วันร้อนๆ ณ เตรียมอุดม



เทพนิยาย



อรณัส อ๋องสมหวัง ม.5 ห้อง 947 (วิทย์-เยอรมัน) 

อยู่ๆ ก็มีหาง


5 มิ.ย.59 

สวัสดีไดอะรี่ 

วันนี้มีเรื่องที่ประหลาดทึ่สุดเกิดขึ้นในชีวิตฉัน!! ตอนนี้ ฉันกลายเป็นมนุษย์ที่มี"หาง"เหมือนกับสัตว์ ตอนแรกฉันก็ไม่คิดที่จะเชื่อสายตาตัวเอง แต่จนถึงตอนนี้ ก็คงปฏิเสธอะไรไม่ได้แล้ว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังก่อนละกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในวันที่แสนวุ่นวายนี้ 

เมื่อเช้า ฉันก็ตื่นนอนตามปกติ แต่พอเริ่มนั่งลงกินข้าวเช้าเท่านั้นแหละ อยู่ๆก็รู้สึกเหมือนว่านั่งทับอะไรสักอย่างอยู่ พอลองจับๆตัวเองดูก็รู้สึกเหมือนมีปุ่มๆอะไรสักอย่างอยู่ที่บั้นท้ายอ่ะ! คือรีบวิ่งเข้าห้องนำ้ไปส่องกระจกแทบไม่ทัน แล้วปรากฏว่า ตรงที่ที่สัตว์อื่นๆมีหางนั้น ตัวฉันก็เหมือนมีติ่งอะไรสักอย่างยื่นออกมา! คือช๊อค... วันนี้อยู่ที่บ้านคนเดียวด้วย ไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง พอสงบสติอารมณ์ได้สักพัก (ซึ่งจริงๆก็ไม่ค่อยสงบเท่าไหร่หรอก ใครจะสงบได้ล่ะถ้าอยู่ๆก็มีหางงอกออกมา) ก็พยายามคิดว่ามันอาจเป็นแค่ไปชนอะไรเลยบวมออกมาเฉยๆรึเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่เพราะมันเหมือนเป็นก้อนเนื้อติ่งออกมาเลยอ่ะ เลยตัดสินใจว่าจะไปหาหมอ แต่พอโทรไปที่โรงพยาบาล ก็ดูเหมือนจะยุ่งมาก ไม่มีคิวหมอว่างเลย กว่าจะได้ก็ตอนเย็น ฉันเลยจองไว้ แล้ว"พยายาม"จะใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ แต่ทุกๆครั้งที่จะนั่งก็ต้องมาคอยระวัง และเวลาจะทำอะไรก็รู้สึกระแวงหลังไปหมดเลยอ่ะ กลัวว่าจะมีคนรู้ความผิดปกติอันแปลกประหลาดของฉัน พอใกล้ถึงเวลานัดหมอฉันก็รีบไปโรงพยาบาล แต่ก็ยังต้องรอคิว ฉันสังเกตว่าแต่ละคนนั่งด้วยท่าทีแปลกๆและดูกระวนกระวายกันหลายคน เลยแอบนึกสงสัยว่าจะมีคนเป็นเหมือนฉันรีเปล่า! แต่ตอนนี้ฉันกำลังว่างมากเพราะรอคิวมานานแล้ว เลยหยิบไดอะรี่ขึ้นมาเขียนนี่แหละ เมื่อกี้พยาบาลเรียกละ เดี๋ยวกลับมาเขียนต่อนะ บาย 

19.35

___________________________________________________

น.ส.ธัญธร กิจผกามาส ม5 สายวิทย์บริหาร

ถ้าฉันเหลือเวลา 24 ชั่วโมง


อยากกลับไปถ่ายภาพนี้อีกครั้ง
และโฟกัสสิ่งตรงหน้าให้ชัดกว่าเดิม
___________________________________________________

ภพกมล บุญยะผลานันท์ ม.6/125 ศิลป์ ญี่ปุ่น

เข้าห้องปกครองครั้งแรก


                  สำหรับหลายคนถ้าพูดถึงห้องปกครองก็จะนึกถึงแต่ห้องลงโทษนักเรียน ครูโหด การเข้าห้องปกครองก็จะคิดว่า ไปทำพฤติกรรมไม่ดี หรือ ไปทำสิ่งที่ผิดกฎมาเลยได้เข้า แต่สำหรับผมการเข้าปกครองครั้งแรกไม่ใช่สาเหตุพวกนั้น

              ผมเคยเข้าห้องปกครองครั้งแรกตอน ม.ต้น ในช่วง ม.2 ตอนนั้นเป็นช่วงการซักซ้อมการแสดงรอบกองไฟของลูกเสือ แล้วกลุ่มผมกำลังนั่งว่างๆอยู่ สักพักก็มีครูเดินมาจากทางหนึ่ง ตรงมาที่กลุ่มของผม ผมเห็นจากไกลๆ ในใจก็คิดว่า ครูต้องมาใช้ให้เราไปทำอะไรแน่ๆ และสิ่งที่ผมคิดมันก็คือความจริง นักเรียน มาช่วยครูทำสลากให้พี่ ม.ปลายหน่อยครูกล่าว ในใจก็คิดว่าซวยแล้ว เลยลองถามเล่นๆว่าที่ไหน ครูก็ตอบว่า ที่ห้องปกครอง แอร์เย็นสบาย พวกเราก็นึกขนลุกว่าเราจะไปทำงานในห้องฝ่ายปกครอง สิ่งที่ทำให้นึกถึงแฮชแท็ก ห้องปกครองแอร์เย็นมาก จึงตอบตกลงไปเผื่อเจออะไรที่น่าสนุก พอเข้าไปแอร์ก็เย็นมากอย่างที่คาดไว้ มีครูที่น่าขนลุกเต็มไปหมด ครูก็บอกให้เรานั่งลงกลางห้องเลย ล้อมกันเป็นวงกลม แล้วก็สั่งงานให้ม้วนสลากเลข 1-5 ไป ระหว่างทำ เราก็คิดขึ้นมาว่างานนี้ใช้เป็นจิตอาสาได้ไหม ก็เลยถามครู ครูบอกอย่างเต็มใจว่าอยากมาให้เซ็นเมื่อไหร่ก็มาเลย เราก็ดีใจใหญ่ สักพักครูก็นำขนมกับน้ำมาให้ บอกว่ากินไปทำไปได้เลย อยากเปิดเพลงครูก็ไม่ว่า เราแทบไม่เชื่อหู ไม่เชื่อตา ว่าสิ่งเหล่าจะสามารถเกิดขึ้นได้ในห้องปกครอง เราจึงถ่ายรูปกันแล้วโพสต์ลง facebook เพื่ออวดสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ แล้วนั่งทำสลากคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ตรึงเครียดแบบที่คิดไว้ตอนแรก

                การได้ยินว่าไปห้องปกครอง ไม่จำเป็นต้องเป็นการไปตักเตือนความประพฤติ หรือทำโทษเสียอย่างเดียว อาจจะมีกิจกรรมหรืองานดีๆอย่างอื่นก็เป็นได้เช่นเหตุการณ์ที่กล่าวมา

 ___________________________________________________

นายดิสสรา อัครศรีสวัสดิ์ ม.4 ห้อง 947 สายวิทย์-คณิต คุณภาพชีวิต

กีฬาที่(ไม่)ชอบ


ข้าพเจ้ามั่นใจว่าทุกคนย่อมมีกีฬาที่ชื่นชอบ และอาจจะเล่นด้วยตัวเอง หรือเพียงแค่เชียร์กีฬาเหล่านั้นผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น กีฬานั้นให้ประโยชน์แก่ผู้เล่นเป็นอย่างมากได้แก่ สุขภาพกายที่แข็งแรง ได้พบเจอเพื่อนใหม่ ได้ความสนุกมีความสุข หัวเราะ หรือบางทีอาจจะเครียดแต่ก็ผ่านไปด้วยกัน ส่งเสริมมิตรภาพและสุขภาพจิตได้เป็นอย่างดี

ข้าพเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งที่ชอบการเล่นกีฬา แต่เล่นไม่เก่ง พยายามทดลองเล่นหลายชนิดแต่มีเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่สามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว หนึ่งนั้นคือแบดมินตัน โดยเป็นกีฬาที่ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม ลมไม่แรงหรืออยู่ในที่โล่งและมีตาข่าย หรืออยู่ในโรงยิม จึงเล่นได้ยากเมื่อเปรียบเทียบกับกีฬาอื่นๆที่นิยมเล่น จำนวนคนเยอะและไม่ต้องอาศัยสถานที่ที่จำเพาะเช่นฟุตบอลหรือบาสเก็ตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่ข้าพเจ้าไม่ถนัดและเป็นตัวถ่วงของทีมได้ จึงทำให้โอกาสในการได้เล่นกีฬาลดน้อยลง ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่นทดแทน เช่นเล่นเกม อ่านหนังสือ วาดภาพ หรือท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของข้าพเจ้ามากกว่า


โดยสรุปแล้ว อาจเรียกได้ว่ากีฬาที่ข้าพเจ้าไม่ชอบจริงๆแล้วนั้นไม่มี เพียงแต่เป็นเพียงแค่ความไม่ต้องการที่เล่นจากเหตุผลที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น

_________________________________________________

นายปัณณยชญ์ อินทร์ใจเอื้อ ม.6/227 เลขที่ 37

เสพติดความเศร้า





อชิรญา ศิลปปัญญา ม.5 ห้อง824 ภาษา-คณิต

ในวันที่ฝนตก


          เสียงฝนกระทบกับหลังคาดังเปาะแปะตัดกับเสียงสนทนาของผู้คนในร้านกาแฟใจกลางกรุงลอนดอน ชายหนุ่มจิบกาแฟลาเต้ในถ้วยเซรามิคช้าๆพลางมองก้อนเมฆที่จับตัวกันเป็นก้อนสีหม่นคล้ายควันบุหรี่ ก่อนที่จะก้มลงดูนาฬิกาที่จอโน้ตบุ๊คซึ่งแสดงเวลาสิบสี่นาฬิกาสิบห้านาที

          คุณมีความทรงจำอะไรในวันที่ฝนตกบ้าง ภาคถอนหายใจเฮือกใหญ่หลังจากพิมพ์หัวข้อบทความเรื่องใหม่ลงในโน้ตบุ๊ค หัวข้อนี้นับว่ายากสำหรับนักเขียนมือใหม่เช่นเขา เนื่องจากผู้อ่านแต่ละคนมักจะมีประสบการณ์แตกต่างกันออกไป การที่จะเขียนให้ผู้อ่านมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกับบทความจึงเป็นเรื่องยาก

          จะว่าไปแล้วเขาเองก็มีความทรงจำในวันที่ฝนตกเหมือนกัน ภาคหลับตาลงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องราวเมื่อเดือนก่อนซึ่งเป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบสี่ปีของเขา วันนั้นเป็นหมือนกับวันเกิดของเขาในทุกๆปีที่เขาจะออกไปกินเลี้ยงกับกลุ่มเพื่อน แต่ปีนี้แตกต่างจากปีอื่นคือท้องฟ้าที่ดูสดใส จู่ๆฝนก็ตกลงมา และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้จักเพื่อนใหม่คนหนึ่ง

          เพื่อนใหม่คนนี้เป็นเพื่อนของวัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนทุนรุ่นดียวกันกับภาค วัฒน์ได้แนะนำเพื่อนให้ภาครู้จักโดยบอกว่าเขาจะพาภาคไปส่งถึงหอพัก ในตอนแรกภาคก็คิดจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่เมื่อภาคสบสายตาคู่นั้น เขากลับรู้สึกได้ว่าเขาสามารถพึ่งพาเพื่อนคนนี้ได้อย่างอธิบายไม่ถูก

          หากเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆที่ภาครู้จัก เขาจัดได้ว่าเงียบขรึมและค่อนข้างเฉยชากว่าหลายๆคน แต่ถึงกระนั้นภาคก็รับรู้ได้ว่าเพื่อนคนนี้ดูแลเอาใจใส่เขามาก เขารู้สึกว่าระหว่างทางที่เดินกลับหอพัก เขาแทบไม่ถูกฝนเลย มีแต่เพื่อนคนนี้ที่คอยเอาตัวเองมาบังรับหยาดน้ำฝน...

          “ว่าไง ภาค ไม่ได้เจอกันตั้งหนึ่งเดือน เป็นยังไงบ้าง” เสียงทุ้มต่ำปลุกให้ภาคตื่นจากภวังค์ เบื้องหน้าของเขาคือวัฒน์ซึ่งนั่งยิ้มอย่างอามณ์ดีที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

          “ก็เรื่อยๆอย่างนี้แหละ แล้ววัฒน์ล่ะ”

          “ช่วงนี้งานมีปัญหานิดหน่อยก็เลยยุ่งๆ ขอโทษที่ให้มาหาถึงแถวนี้นะ ทั้งๆที่ไกลจากหอแท้ๆ”

          “ไม่เป็นไรหรอก เราสิที่ควรจะขอโทษที่ยืมร่มไปวันนั้น” ภาคตอบก่อนจะส่งร่มสีเหลืองอ่อนให้วัฒน์ “เราคืน...”

          แต่ไม่ทันที่ภาคจะพูดจบ ฝนที่แต่เดิมใกล้จะหยุดตกก็กลับกลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่เทลงมา วัฒน์อมยิ้มขบขันก่อนจะถามภาคอย่างรู้ทันว่า “แล้วนี่ภาคมีร่มอีกคันไว้กลับหอเหรอ”

          ภาคยิ้มเจื่อนๆแทนคำตอบ

          “ไม่เป็นไร ภาคยืมต่ออีกก็ได้ ที่ทำงานเรายังมีอีกคัน” วัฒน์เอ่ยอย่างใจกว้างพร้อมยื่นร่มให้

          ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณพร้อมมองไปที่ร่ม เขารู้สึกอบอุ่นใจและคุ้นเคยเช่นเดียวกับที่มองเพื่อนใหม่ในวันนั้น...เพื่อนที่คอยรองรับละอองหยาดน้ำฝนแต่เพียงผู้เดียว...ร่มในวันนั้น

_____________________________________________________

ณัฐวรา ลีละวัฒน์วัฒนา ม.6 ห้อง 125 ศิลป์-ญี่ปุ่น

คอสเพลย์


“...การที่เรารักและเราชอบในสิ่งนั้น ไม่แปลกถ้ามีการเลียนแบบสิ่งที่เราชอบ 
แม้คนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร แต่ถ้าตัวเราคิดว่ามันถูกต้องและไม่ได้เสียหายอะไร 
ก็จงทำมันต่อไป ทำมันให้สุดแล้วสิ่งนั้นจะดีเอง...”

          งานอดิเรก คือ งานที่เกิดจากความชอบ ความหลงใหลในสิ่งหนึ่ง หลายคนก็มีหลายงานอดิเรก แตกต่างกันออกไป เช่น อ่านหนังสือ ตัดเย็บเสื้อผ้า ถักนิตติ้ง สะสมแสตมป์ ปลูกต้นไม้ ฯลฯ เราคิดว่า    คอสเพลย์ก็เป็นงานอดิเรกชนิดหนึ่งเหมือนกัน เกิดจากความหลงใหล และความชอบ..

          พูดถึงคอสเพลย์ หลายๆคนคงคิดว่า อ๋อ เป็นการแต่งตัวเลียนแบบตัวละครในเกมหรือไม่ก็การ์ตูนของญี่ปุ่น แต่ในความจริงแล้ว ไม่ใช่แค่ของญี่ปุ่นเท่านั้น แต่รวมถึงของทั่วโลก! การคอสเพลย์เป็นการตอบสนองต่อความหลงใหลในตัวเรา การได้เป็นในสิ่งที่ตัวเองชอบ มันทำให้เรามีความสุข สนุกสนาน การได้เจอกับผู้คนที่แต่งตัวกันมาหลากสีสัน มากหน้าหลายตาจากสถานที่ต่างกัน

          เราเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแต่งคอสเพลย์ แต่เมื่อเวลาเห็นผู้คนแต่งคอสเพลย์ ใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะที่ออกมา ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสุขของเขา กว่าเขาจะแต่งให้สวยขนาดนี้ได้ เขาต้องเก็บเงิน เรียนรู้การตัดเย็บ แต่งหน้าทำผม ถ้าเป็นเรา คงเลิกทำไปนานแล้ว แต่พวกเขามีความหลงใหลในคอสเพลย์ จึงไม่แปลกใจเลยว่าเขาทนทำอย่างนั้นได้อย่างไร

             “...เป็นเกมหรือเปล่า”

           “อ๋อ เป็นชุดกระโปรงใช่ไหม”

 “คอสเพลย์เหรอ อืม...ไม่รู้จักน่ะ”

           “ไร้สาระจะตาย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า”

อย่ามองว่าคอสเพลย์ไร้สาระเลยค่ะ ความหลงใหลของแต่ละคน มันต่างกัน...

_____________________________________________________

Astrid

(ภัทราพร    ยังรักษา  ม.5 ห้อง 937)

ภาพถ่ายในความทรงจำ


ชื่อภาพ : "เทพีในสายหมอก"

เป็นภาพที่ให้บรรยกาศคลาสสิคของเทพีเสรีภาพในวันที่มีหมอกลงเเละสภาพอากาศที่มืดครึ้ม ภาพนี้ถือเป็นภาพถ่ายในความทรงจำเลยก็ว่าได้ เพราะถ่ายขณะไปเที่ยวNew york เป็นครั้งเเรก ช่วงที่เป็นนักเรียนเเลกเปลี่ยนเมื่อปี2013-14 เมื่อกลับมามองภาพนี้ก็ทำให้นึกถึงชีวิตที่อเมริกา เเละหวังว่าสักวันจะได้กลับไปเยือนที่ที่ให้ความทรงจำดีๆกับผม สักวันนึง

_________________________________________________________


นาย ธีธัช วิโยคม ม.6 ห้อง 58 เลขที่35

กาลครั้งหนึ่ง...


กาลครั้งหนึ่ง กาลครั้งนั้น ฉันอยู่ม.5 ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ต้องเลือกลงทะเบียนชมรม ฉันอยากเปลี่ยนชมรมเพราะอยากลองหาอะไรใหม่ๆทำดูบ้าง ตอนนั้นก็คิดอยู่นานว่าจะเข้าชมรมไหนดี ฉันมีเพื่อนอยู่ชมรมสร้างสรรค์หนังสือพอดีและพอรู้ว่าชมรมนี้มีหน้าที่ทำหนังสืออนุสรณ์เลยเลือกเข้ามา เมื่อเข้ามาฉันได้พบว่าในชมรมมีหน้าที่ต่างๆมากมายให้เลือกทำตามความชอบ ความถนัด ฉันสนุกและรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสืออนุสรณ์ซึ่งเป็นหนังสือที่มีคุณค่ามากทางจิตใจ เปรียบดังสิ่งที่ระลึกประจำในแต่ละปี ในปีนี้ฉันจึงตัดสินใจอยู่ชมรมนี้ต่อและตั้งใจจะทำหนังสืออนุสรณ์ออกมาให้ดีที่สุดสมกับปีสุดท้ายของการเป็นนักเรียน
 ____________________________________________________


พิมพ์นารา ศุภกรกุลนันทร์ ม.6 ห้อง 126 ศิลป์-ญี่ปุ่น

ฮอกวอตส์มีอยู่จริงแค่เปิดตู้เสื้อผ้า


เช้าวันจันทร์ได้เริ่มต้นใหม่ขึ้นแล้ว ทุกชีวิตต่างเริ่มต้นวันใหม่ นกเริ่มออกหากิน ผู้คนเริ่มออกไปทำงาน

          ทะเลลล ตื่นได้แล้วลูกเสียงปลุกของแม่ดังขึ้นหลายสิบรอบ

          ตื่นแล้วฮะแม่เด็กผู้ชายผมดำตอบแม่ไปอย่างงัวเงีย เขาลุกขึ้นมานั่งทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่แล้วล้มลงนอนต่อไป

          ทะเล นี่มันหกโมงสี่สิบห้าแล้วนะ วันนี้วันจันทร์เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอกแม่ตะโกนด้วยความโมโหเล็กน้อย

          เด็กผู้ชายสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปหยิบผ้าขนหนูตรงระเบียงแล้วเข้าห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว อาบน้ำแต่งตัวเสร็จรีบหยิบกระเป๋าขึ้นรถที่แม่จอดรออยู่หน้าบ้าน พร้อมออกเดินทาง

          เมื่อถึงโรงเรียนชีวิตของเด็กชายก็ดำเนินไปเหมือนๆกับทุกๆวัน เขารู้สึกเบื่อกับวิชาเรียนทั้งคณิตศาสตร์ สังคมศึกษา ภาษาไทย แต่มีคำถามหนึ่งในคาบวิทยาศาสตร์ที่คุณครูได้ทิ้งไว้ให้คิด เวทมนต์มีจริงไหม คำถามนี้ทำให้ทะเลพยายามที่จะหาคำตอบ เลิกเรียนแล้วทะเลก็เดินไปเรียนพิเศษต่อ ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้อยากจะเรียนสักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องเรียนเป็นเพราะเพื่อนคนอื่นๆเรียนกันหมด ทำให้เป็นค่านิยมว่าต้องเรียนพิเศษ

ระหว่างนั่งรถกลับบ้านคำถามที่ว่าเวทมนต์มีจริงไหม ยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

แม่ฮะ แม่ว่าเวทมนต์มีอยู่จริงไหมฮะ ทะเลถาม

ไม่รู้สิ แม่ไม่เคยเห็น แต่เคยได้ยินเรื่องเล่านะ สาวน้อยในตะเกียงแก้วอะไรทำนองนั้น แม่หัวเราะ

ผมเองก็ไม่เคยเห็น มันคงไม่มีอยู่จริงหรอกเนอะแม่ เขาตอบแม่ และบอกตัวเองไปด้วย

ถึงบ้านแล้วทะเลรีบอาบน้ำ แล้วนั่งทำการบ้านกองใหญ่ ระหว่างทำการบ้านใจเขาไม่ได้มีสมาธิอยู่กับงานสักเท่าไร ใจเขายังคงคิดถึงเรื่องเวทมนต์อยู่ ถ้าโลกนี้มีเวทมนต์ก็ดีสิ เขาจะได้ไม่ไปโรงเรียนสาย ไม่ต้องทำอะไรเหนื่อยๆ จะได้เรียนอะไรสนุกๆ แต่... เวทมนต์ไม่มีจริงนิ เขาบอกตัวเองและกลับไปทำการบ้านกองโตให้เสร็จ

ได้เวลานอนแล้ว ทะเลเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อจะเตรียมชุดนักเรียนสำหรับวันพรุ่งนี้ ทันทีที่เขาเปิดตู้เสื้อผ้า มีแสงจ้าออกมาและรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดเข้าไปหมุนติ้วราวกับอยู่ในถังซักผ้า
                                                 

เฮ้ นายตื่นได้แล้ว

นายๆ

นายได้ยินไหม

เขายังหายใจอยู่นะ น่าจะยังไม่ตาย

เขาค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความมึนงง เขาพบกับบรรยากาศรอบๆที่เปลี่ยนไป ตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนพื้น มีเด็กชายสองคนซึ่งน่าจะเป็นที่มาของเสียงปลุกเขา

เขาตื่นแล้วนี่

หวัดดี เป็นไงนายถึงมานอนอยู่ตรงนี้ละเด็กผู้ชายผมดำขลับ ตาโต สวมแว่นทักทาย

ฉันว่าพื้นนี่ไม่ได้น่านอนสักเท่าไหร่นะเด็กผู้ชายผมแดง หน้าตกกระและจมูกยาว เสริม

นี่ฉันอยู่ที่ไหนทะเลถาม

ฮอกวอตส์ ไงเด็กชายทั้งสองตอบพร้อมกัน

____________________________________________________

ชนัญชิดา รัตนธน ม.5 ห้อง655

เมื่อฉันล่องหนได้


มนุษย์ล่องหน (The Invisible Man) ปรากฏตัวครั้งแรกในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขียนโดย เอช.จี. เวลส์ (H.G. Wells) กล่าวถึงนักวิทยาศาสตร์ชื่อ กริฟฟิน (Griffin) ซึ่งตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าร่างกายมนุษย์มีดรรชนีหักเหเท่ากับอากาศ ร่างกายจะไม่ดูดซับแสงหรือสะท้อนแสง และทำให้มองไม่เห็น กริฟฟินได้ทำการทดลองด้วยตัวเอง ประสบความสำเร็จและทำให้ตนเองกลายเป็นมนุษย์ล่องหน แต่ไม่สามารถทำให้ร่างกายตัวเองกลับมามีดรรชนีหักเหเท่าเดิมได้ นอกจากนี้กระบวนการเคมีที่เกิดขึ้นยังมีผลกระทบต่ออารมณ์และสภาพจิตใจของกริฟฟิน กริฟฟินใช้แถบผ้าพันปกปิดร่างกาย สวมแว่นดำและหมวกปกคลุม หลบไปทำการทดลองในเมืองเล็กๆ และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าชื่อ ดร.เคมป์ (Dr. Kemp) ในขณะที่ชาวเมืองเริ่มรู้สึกผิดปกติกับการมาของชายลึกลับที่ใช้ผ้าพันทั้งตัว เกิดอาชญากรรมแปลก แต่ตำรวจไม่สามารถจับใครได้ ในที่สุดกริฟฟินก็สามารถกลับมามีร่างกายเป็นปกติได้ แต่เป็นในขณะที่เขากำลังจะตาย

จากย่อหน้าข้างต้น เมื่อมนุษย์สามารถล่องหนได้ เขาจะสูญเสียการมองเห็นไป เนื่องจากแสงไม่หักเหเข้าตาเรา ถ้าฉันสามารถล่องหนได้แต่ตาบอด ฉันจะไม่พยายามล่องหนและดำเนินชีวิตตามปกติ แต่ถ้าฉันสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ในขณะที่ล่องหน ฉันจะเดินทางไปทุกที่ที่ฉันอยากไป ทำทุกสิ่งที่อยากทำ เพราะไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ทำอะไร หรือแม้กระทั่งไม่รู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่บนโลกนี้

 _____________________________________________________


ด.ช.ณัฐชัย ศิริรัตนากูล ม.4 ห้อง 277 สาย วิทย์-คณิต (ประยุกต์)

มีอะไรอยู่ในกล่อง


ช่วงชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กจนได้เติบโตขึ้น มีเรื่องราวผ่านเข้ามาในชีวิตทุกๆวัน เรื่องราวทั้งดีและร้ายผ่านเข้ามามากมาย จากวันที่ข้าพเจ้าเกิดมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 6000พันกว่าวันแล้ว แน่นอนว่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในทุกๆวัน ข้าพเจ้าก็จำได้ไม่หมดหรอก เรื่องราวที่ข้าพเจ้าจะจำได้ บ้างก็เป็นความประทับใจ บ้างเป็นเรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเก็บสะสมของมาตั้งแต่ยังเล็กๆ ข้าพเจ้ามีกล่องเก็บของขนาดต่างๆ และมีหลายแบบหลายกล่อง ในนั้นจะมีของต่างๆ บ้างเป็นของที่มีคนให้มา บ้างเป็นรูปภาพในอดีต บ้างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ข้าพเจ้าเคยไป หากเมื่อใดที่ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เปิดกล่องเหล่านั้นดู และได้เห็นรูปภาพหรือของต่างๆเหล่านั้น ข้าพเจ้าจะรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในโลกของอดีต อดีตที่ข้าพเจ้าเคยพบเจอด้วยตัวเองเมื่อนานมาแล้ว แม้ว่าบางเหตุการณ์จะผ่านมาแล้วเกือบ10ปีก็ตาม ข้าพเจ้ามีกล่องสะสมของแบบนี้มากมาย


ข้าพเจ้าคิดว่าบรรดากล่องเก็บของของข้าพเจ้าเหล่านี้เปรียบเหมือนลิ้นชักใต้โต๊ะทำการบ้านของโนบิตะ ซึ่งเป็นที่เก็บของที่เรียกได้ว่าเป็นเครื่องย้อนเวลาที่จะพาข้าพเจ้าไปในอดีต เป็นที่เก็บเรื่องราวที่อาจจะลืมไป แต่เมื่อได้มีโอกาสกลับมาดูอีกครั้ง มันก็จะพาข้าพเจ้าเข้าไปในเหตุการณ์นั้นอย่างชัดเจน หรือหากข้าพเจ้าอยากรำลึกถึงวันวาน ก็เพียงแค่เดินไปหากล่องใบนั้น เพราะในกล่องนั่นมีสิ่งที่เรียกว่าความทรงจำเก็บไว้ให้ข้าพเจ้าเปิดออกและสามารถดูได้ทุกเมื่อ

______________________________________________

นางสาวสโรสินี ศิริวรเดชกุล ม.5 ห้อง932 วิทย์-คณิตประยุกต์

เพลงที่ชอบ



Make Me Like Youโดย Gwen Stefani อัลบัม ‘This Is What the Truth Feels Like’ (2016)

เพลงนี้เป็นเพลงที่เราชอบมาก เริ่มจากที่เราชอบ Gwen Stefani มาก แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Gwen เพิ่งหย่ากับอดีตสามี Gavin  หลังจากนั้นไม่นาน Gwen ก็ยอมรับว่ากำลังคบกับ Blake Shelton ที่ก็เพิ่งหย่ากับอดีตภรรยา Miranda มาเช่นกัน
          
         เนื้อเพลงเล่าถึงความรู้สึกของ Gwen ที่เริ่มจากความเศร้าเสียใจ ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงและหลงทางจากการเลิกรา จนได้มาเจอกับ Blake  จากที่ไม่มีใครก็กลายเป็นคิดถึงแต่เขา ทั้งชอบและกลัวว่ารักครั้งใหม่จะไปได้ดีหรือล่มเหมือนครั้งก่อนของทั้งคู่ เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่คนสองคนที่มีแผลใจได้มาเจอกันและช่วยกันเยียวยาอีกฝ่ายให้ดีขึ้น เธอขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เธอได้เจอกับเขา และตอนนี้เธอก็คิดถึงแต่เขา เธอโกรธเขาที่ทำให้เธอคิดถึงเขาตลอดเวลาและชอบเขามากขนาดนี้ <3
          
         เราไม่เคยหย่ามาก่อนเลยไม่รู้ว่าจะรู้สึกแย่ขนาดไหน แต่การที่ได้เห็นทั้ง Gwen และ Blake ดูมีความสุขมากขึ้น เศร้าน้อยลง ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตก็อย่าให้มันทำลายชีวิตเรา ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นแค่หนึ่งในอีกล้านๆปัญหาที่จะตามมา และอย่าปิดกั้นโอกาสของเรา เพราะถ้าสมมติ Gwen ปล่อยตัวเองให้เศร้าเรื่องการหย่าจนไม่สนใจคนอื่นเลย ก็จะไม่ได้เจอกับคนที่ทำให้เธอมีความสุขได้อีกครั้ง หรือเจอแต่ไม่สนใจ 


ไม่มีปัญหาไหนใหญ่พอที่จะทำลายชีวิตทั้งชีวิตเราได้;)

___________________________________________________

ญาดา เตชะวงศ์ชัย ม.5/656 วิทย์ประยุกต์

เราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์


ถ้าจะถามว่าเราได้อะไรจากการเรียนรู้เรื่องราวในอดีต หลายๆคนก็คงจะตอบว่าเรียนรู้เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการใช้ชีวิต เรียนรู้เพื่อนำมาเป็นแบบอย่าง เรียนรู้เพื่อที่จะไม่ทำผิดพลาด แต่ในความเป็นจริงจะมีสักกี่คนที่สามารถนำเรื่องราวเหล่านั้นมาปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเอง ถ้าการเรียนรู้ของคุณคือการที่เพียงอ่านโดยที่ไม่ได้คิดตาม ไม่พยายามทำความเข้าใจ ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ แล้วถ้าหากว่าเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร  ลองฝึกตั้งคำถามเหล่านี้กับตัวเองดูสิ แล้วคุณจะรู้ว่านอกเหนือจากเรื่องราวในอดีตที่บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังมีอะไรที่แฝงอยู่อีกมากมาย การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดีนั้นควรทำใจให้เป็นกลาง ลองมองหลายๆมุม และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างที่ควรจะรู้ไว้ก็คือมีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะสามารถเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ ดังคำพูดที่ว่า ประวัติศาสตร์ขึ้นอยู่กับคนจับปากกา

ที่ผ่านมาลองถามตัวเองดูหรือยังว่าได้เรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์บ้าง เรียนรู้เพื่อทำให้ปัจจุบันดีขึ้นสู่อนาคตที่ดีกว่า หรือเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ซึ่งนำไปสู่การวนเวียนของปัญหาที่ไม่รู้จบ อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะนำประวัติศาสตร์มาเพื่อแก้ไขให้ดีขึ้น หรือเพื่อจดจำ มีคนอีกมากมายที่อยากลบประวัติศาสตร์หน้าเก่าและสร้างหน้าใหม่มาทดแทน แล้วคุณละอยากให้ประวัติศาสตร์เป็นแบบไหนกัน

             ___________________________________________________



นางสาวอภิสรา   แกล้วกล้า  ม.5 ห้อง 438

แค่กล้าก็ชนะแล้ว


          ความกล้า คือการต่อสู้กับความกลัว เป็นการเอาชนะความกลัว แต่ไม่ใช่ไม่รู้สึกกลัว  เป็นคำพูดที่กล่าวโดยนักเขียนชาวอเมริกันคนหนึ่ง  จริงๆแล้ว ความกล้า เป็นสิ่งที่ทุกคนมี แล้วแต่คนว่าจะนำมันออกมาใช้ได้เท่ากันหรือไม่ และเหตุผลที่ทำให้คนบางส่วนไม่สามารถนำมันออกมาได้นั้นก็คือ ความกลัว

          ความกลัว เป็นสิ่งที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากมาย ความกลัว ทำให้เราหวาดระแวงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ความกลัว เป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา บางครั้งมันทำให้เราล้มเลิกความพยายามและตั้งใจของเราได้  คนเราย่อมมีความกลัวกันทุกคน เพียงแค่มันจะแตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่พวกเขาเคยพบเจอมา บางคนกลัวความสูง เพราะเคยตกลงมาจากที่สูง บางคนกลัวสุนัข เพราะตอนเด็กๆ เขาเคยโดนสุนัขกัด และการเอาชนะความกลัวนั้น ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เพราะเราต้องอาศัยความกล้า กล้าที่จะเปลี่ยนทัศนคติ กล้าที่จะยอมรับ กล้าที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านั้น ดังคำพูดข้างต้น ที่บอกไปว่า ถึงเราจะต่อสู้กับความกลัว ไม่ใช่ว่าเราจะไม่รู้สึกกลัว แต่การต่อสู้นั้น มันจะเป็นแรงผลักดันเล็กๆที่จะทำให้เราสามารถหลุดพ้นจากความกลัวไปได้ มันอาจจะไม่ได้หลุดพ้นไปทั้งหมด แต่อย่างน้อย เราก็ยังได้ลองพยายามต่อสู้กับมัน เพราะ แค่กล้า ก็ชนะแล้ว

 _____________________________________________

ปีโป้ วีรดา วิชชุปกรณ์ ม.4 ห้อง 835 สายการเรียน ภาษา-ญี่ปุ่น


สามปีในเตรียมอุดมฯ



นางสาวนัทธมน แก้วมีจีน ม.4 ห้อง 667

ขนมที่ไม่ชอบ



พิชญา รุ่งโรจน์สถาพร ม.6 ห้อง 126 ศิลป์ญี่ปุ่น

สวนกลางเมือง



รมิดา เปี่ยมชล ม.4 วิทย์จีน

แครอทก็ไม่สำคัญขนาดนั้น

ยามเช้าในหมู่บ้านกลางหุบเขา แสงแดดได้สาดส่องเข้ามาในบ้านไม้หลังใหญ่ขนาดหนึ่ง

ยัง...ง่วงอยู่เลยอ่ะ เด็กสาวพูดออกมาเป็นคำแรก เมื่อรู้สึกตัว คงเป็นเพราะเมื่อคืนเธอออกไปวิ่งเล่นแถวทุ่งหญ้าชายขอบหมู่บ้านมากไปหน่อยละมั้ง

ตื่นได้แล้วลูก แม่ต้องออกไปไร่แล้วนะจ้ะ ฝากงานที่บ้านด้วยละ แม่ของเธอตะโกนเสียงดังมาจากชั้นล่าง เสียงนั้นสดใสอยู่ตลอดเวลาจนเด็กสาวอดสงสัยไม่ได้ว่า อะไรทำให้แม่ขยันและกะตือรือร้นที่จะออกไปทำงานขนาดนั้น

กว่าเด็กสาวจะลุกออกจากที่นอนได้ ก็ผ่านไปหลายนาทีเธอแทบจะคลานลงจากเตียงเลยทีเดียว  เมื่อลงไปถึงชั้นล่างเธอก็พบกับสิ่งเดิมๆประจำทุกเช้า นั่นก็คือ อาหารเช้าที่ทำจากแครอทมากมาย  เนื่องด้วยพ่อและแม่ของเธอนั้นเป็นเกษตรกรปลูกแครอทรายใหญ่ของหมู่บ้าน ทำให้ทุกเช้าจะมีแครอทเหลือมาทำเป็นอาหารมากมายเช่น ออมเล็ตแครอท แครอทนึ่ง แครอทอบชีส แยมแครอท น้ำแครอทปั่น ซึ่งก็เอาจริงนั่นแหละ เธอเบื่อของพวกนี้เหลือเกิน

ทำไมฉันต้องกินแครอททุกเช้า  แครอทก็ไม่สำคัญขนาดนั้นหรอก!  ฉันก็อยากลองกินผักอย่างอื่นบ้างนะสิเธอคิดในใจแต่ก็ยังนั่งลงที่โต๊ะอาหาร และเริ่มรับประทานอาหารเช้าแบบเดิมๆเหมือนเช่นทุกวัน
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ เธอก็เริ่มทำงานปรกติที่ทำที่บ้าน ทำงานบ้าน ต่างๆเสร็จแล้ว จึงออกไปหาพ่อแม่ที่ไร่

แม่หนูมาแล้วค— ว้าย!” อาจจะเพราะเด็กสาวรีบไปหน่อยเธอเลยสะดุดหัวแครอทอันใหญ่อันหนึ่งล้มหน้าฟาดพื้น

ลูกแม่! เป็นอะไรมั้ย?แม่ของเธอรีบวิ่งเข้ามาดู  พร้อมกับพ่อของเธอเช่นกัน

ทำไมหัวแครอทอันนี้มันถึงใหญ่ขนาดนี้เนี่ย พ่อของเด็กสาวจ้องมองแครอทหัวนั้นอย่างสนใจ  มันโตผิดปกติ แถมมีสีออกแดงเข้มสวยงามอีกด้วยซ้ำ  นี่มัน!! เรดเวลเวต ซุปเปอร์เวรี่บิก แครอท พันธุ์หายากมากนี่นา!!!! แก่ได้ที่แล้วด้วย พร้อมขุดขายอย่างดี พ่อของเธออุทานออกมาด้วยความดีใจ เพราะเจ้าแครอทพันธุ์ที่ว่านี้ ขายได้ราคามากกว่าแครอทปกติถึง100เท่าเนี่ยนะสิ

จริงหรอคะ คุณพ่อ หนูสะดุดทีเดียว  ได้เงินเยอะเลยนะคะ เด็กสาวลุกขึ้นมามองแครอทหัวนั้นเช่นเดียวกับพ่อเธอ คิดว่าครอบครัวเธอน่าจะได้เงินเยอะพอทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น


เย็นวันนั้นหลังจากเสร็จงาน  เด็กสาวเดินกลับบ้านด้วยอารมณ์ดี และเธอก็ได้รู้แล้วว่า แครอทก็สำคัญเหมือนกันนะ
_____________________________________________________

วริศ วิโรจนวัธน์ ม.6/75 วิทย์คณิต